ชีวิตของคนเรามีทั้งด้านดีและด้านไม่ดี มีทั้งรวยและจน
อยู่ที่แต่ละคนจะเลือกว่าอยากมีความสุขหรือความทุกข์ แต่สำหรับน้อง ’คะน้า“
หรือ ภัทร์ภัสสร ธนาเสฎฐ์หิรัญ สาวสวยจากจังหวัดมหาสารคาม วัย 29 ปี
ได้เลือกเส้นทางชีวิตให้ตัวเองด้วยการตั้งเป้าไว้ว่า “อยากรวย”
เพื่อช่วยเหลือพ่อแม่ที่เป็นหนี้นับล้าน
และเพื่อนมนุษย์ด้วยกันไม่ใช่เพื่อความสุขสบายของตัวเอง
จากเด็กเก็บขยะกลายเป็นเศรษฐีพันล้านได้อย่างไร
วันนี้เราจะมาทำความรู้จักกับเธอ
พร้อมเรื่องราวเคล็ดลับการเป็นเศรษฐีและปรัชญาดี ๆ
เพื่อใช้ในการดำเนินชีวิต
“ตั้งแต่จำความได้ครอบครัวของเรา
มีฐานะปานกลาง พ่อแม่ทำงานรับราชการ คะน้ามีน้องชาย 1 คน
ซึ่งชีวิตความเป็นอยู่ ของครอบครัวก็ปกติทั่วไป
เมื่อย่างเข้าสู่วัยนักศึกษา ชีวิตก็เปลี่ยนไปเพราะครอบครัว โดนโกง
เนื่องจากคุณพ่อไปช่วยค้ำประกันให้คนอื่น
จึงต้องใช้หนี้แทนคนที่มาขอให้ช่วยค้ำประกันซึ่งเป็นเงินประมาณ 2 ล้านบาท
พ่อ กับแม่ต้องทำงานพิเศษเพิ่มเพื่อช่วยวิกฤติภายในครอบครัว
ครอบครัวคะน้าไม่ปิดบังลูกเวลามีปัญหาอะไรจะบอกเล่าให้กันฟัง
พอทราบเรื่องรู้สึกสงสารพ่อกับแม่มาก
สิ่งไหนที่พอจะช่วยประหยัดได้ก็จะช่วย”
นับจากวันนั้น
ครอบครัวของเธอคนนี้ จึงเหมือนกลับไปเริ่มต้นจากศูนย์
คะน้าเองต้องเรียนรู้ว่าจะใช้ชีวิตอยู่อย่างไรไม่ให้เป็นภาระของครอบครัว
คือไม่ใช้เงินเปลือง รวมทั้งช่วยทำงานต่าง ๆ ที่จะให้ได้เงินมา เช่น
วันเสาร์ อาทิตย์รับเสื้อผ้าไปขายหรือเอาเสื้อผ้าเก่าไปขายที่ไนท์บาซาร์
หรือตามเทศกาลต่าง ๆ รวมถึงเก็บใบตองมาพับกระทงขายในเทศกาลลอยกระทง
ซึ่งใบตองได้มาฟรีทำให้ได้เงินเยอะโดยไม่ต้องลงทุน
หรือเห็นเศษผ้าเหลือใช้ก็เก็บมาทำริบบิ้นส่งขายตามร้านขายผลไม้และร้านขาย
กระเช้าของขวัญในตัวเมือง
กลายเป็นว่ายอดขายของทั้งปีได้เงินจากการ
นำของเหลือใช้จากคนอื่นมาต่อยอด หลังเลิกเรียนจึงรีบกลับบ้านมานั่งทำของขาย
ไม่เคยไปเที่ยวสังสรรค์ปาร์ตี้ กับเพื่อน ๆ
ซึ่งความจริงแล้วถ้าเป็นชีวิตของคนอื่น ๆ
คงจะเป็นสังคมที่ต้องมีเพื่อนมีสนุกสนานเฮฮาปาร์ตี้
แต่เรารู้หน้าที่ว่าควรจะอยู่ช่วยครอบครัวเป็นกำลังใจให้พ่อกับแม่
ถ้าคะน้าไม่อยู่ข้างพ่อแม่แล้วใครจะอยู่
และเขาต้องมานั่งเป็นห่วงลูกอีกว่าจะเป็นอย่างไรกลับบ้านหรือยัง
สู้เราอยู่ใกล้ ๆ นั่งทำงานให้เห็นได้เงินมาก็นำมาช่วยกันจ่ายค่าน้ำค่าไฟ
ถึงแม้ว่าโบอันหนึ่งจะได้เงินแค่ 5-10 บาท แต่เงินเล็ก ๆ น้อย ๆ
รวมกันทั้งปีก็ได้เป็นหลักหมื่นเหมือนกัน
“นอกจากนี้ช่วงปิดเทอมหรือ
หลังโรงเรียนเลิกจะไปเก็บกระป๋องโค้กและขวดน้ำที่ตกอยู่ตามพื้นมาชั่งกิโล
ขาย ถือว่าเป็นการช่วยให้บ้านเมืองสะอาดด้วย
หากวันไหนที่เห็นว่าคนน้อยมากก็รื้อเก็บจากถังขยะเลย แต่ถ้าคนเยอะ ๆ
จะไม่ทำเราต้องให้เกียรติคนอื่นด้วย พูดจริง ๆ ไม่ใช่ว่าเพราะอาย
บอกได้เลยว่าคะน้าไม่อายในสิ่งที่ทำ
เพราะคิดอย่างเดียวว่าอยากได้เงินมาช่วยพ่อกับแม่
และสิ่งที่ทำมันเป็นเรื่องดี ตรงกันข้ามกลับรู้สึกภาคภูมิใจด้วยซ้ำ“
อีก
อย่างด้วยความที่น้องคะน้าเป็นคนผิวขาว ตัวเล็ก
และดูโดดเด่นในวัยเรียนมหาวิทยาลัย ทำให้มีคนมาทาบทามขอเลี้ยงดู
กระทั่งปัจจุบันก็ยังมีคนตามมาขอเลี้ยงดูในเฟซบุ๊กอยู่
แต่คะน้าปฏิเสธหมดเพราะสามารถหาเงินเองได้
ถ้าสมมุติเราเลือกที่จะให้คนเลี้ยงดูก็จะไม่มานั่งเก็บขยะหรอก
เนื่องจากการที่ได้เงินมาง่ายและเร็วจะไม่รู้ค่าของเงินที่แท้จริง
แต่การที่ได้เงินมาจากน้ำพักน้ำแรงของเราเองต่างหากที่เป็นตัวที่ทำให้รู้
ค่า ของเงิน
การที่เรามาจากรากหญ้าก็ถือเป็นเรื่องดีที่ทำให้รู้จักคุณค่าของเงิน
หลัง
เรียนจบปริญญาตรี คณะสถาปัตย กรรม
ที่มหาวิทยาลัยมหาสารคามแล้วก็มาทำงานประจำบริษัทในกรุงเทพฯ
ตรงตามสาขาที่เรียนมา ได้เงินเดือน 18,000 บาท
ถือว่าเยอะสำหรับคนต่างจังหวัด แต่สำหรับเราไม่พอช่วยพ่อแม่
เพราะค่าเช่าห้องพัก ค่าเดินทาง ค่าอาหาร ซึ่งค่าครองชีพในกรุงเทพฯ สูงมาก
จึงคิดหางานพิเศษทำโดยไปเดินดูของขายที่สวนลุมไนท์บาซาร์
เจอสบู่มีกลิ่นหอมมากคนญี่ปุ่นรุมซื้อ
จึงไปติดต่อรับเอามาขายและตั้งใจว่าจะออกแบบทำแพ็กเกจใหม่และส่งไปขายต่าง
ประเทศ
จุดเปลี่ยนของชีวิตเริ่มที่ตรงนี้เมื่อ
พกสบู่ติดตัวมาที่ทำงานด้วย
เมื่อมีเวลาว่างในช่วงพักเที่ยงจะเอามาออกแบบแพ็กเกจ
มีคนมาถามว่ากลิ่นอะไรหอมจังจึงขายสบู่ไปด้วย
กลายเป็นว่าตัวเรากลายเป็นหน้าร้านขายสบู่ได้เงินวันละ 1,000 บาท
รู้สึกดีใจมากน้ำตาไหลเลย เพราะเป็นการทำกำไรที่ดีมาก
ต่างจากการทำงานทั้งเดือน 20 กว่าวันเพื่อจะได้เงิน 10,000 กว่าบาท
แต่ขายสบู่ได้เงินวันละ 1,000 บาท จึงเห็นช่องทางแล้วว่าสบู่ช่วยทำเงิน
จึงเปิดเว็บไซต์โพสต์ว่าขายสบู่ หลังจากนั้นเริ่มเจอลูกค้ามากขึ้น
และลูกค้าถามว่ามีผลิตภัณฑ์อย่างอื่นอีกไหม
จึงเป็นจุดเริ่มต้นในการนำผลิตภัณฑ์บำรุงผิวหน้ามาขาย
เมื่อเห็นความ
ต้องการของตลาดว่าต้องการครีมบำรุงผิวหน้า จึงตัดสินใจเอาบัตรเครดิต 3
ใบรูดซื้อครีมมาหมดเลย 150,000 บาท และมีหน้าที่ขายให้หมดภายใน 1 เดือน
เป็นครีมบำรุงผิวหน้าแบรนด์ธรรมดามาก แต่ขายได้ดีมาเรื่อย ๆ
จนกระทั่งมีความรู้สึกว่าชอบครีมบำรุงผิวหน้ามาก แต่การขายของ
ต้องรู้จริงว่าให้อะไรกับลูกค้าไป มีส่วนผสมอะไรบ้าง
ตัวไหนเหมาะสมกับลูกค้า
เพราะเราไม่ได้มีหน้าที่ขายอย่างเดียวแต่มีหน้าที่เป็นเพื่อนลูกค้าด้วย
จึงลาออกจากงานไปศึกษาต่อปริญญาโทมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง วิทยาเขตกรุงเทพฯ
คณะวิทยาศาสตร์เครื่องสำอาง
เมื่อเรียนจบได้ผลการเรียนที่ดีมากเพราะ
ศึกษาเกี่ยวกับพฤติกรรมของผู้บริโภค
เรื่องการขายและนำงานวิจัยเกี่ยวกับครีมเมล็ดลำไยมาต่อยอดให้ทางมหาวิทยาลัย
ไปใช้ได้
โดยทำการศึกษาจนรู้สูตรของครีมและทราบว่าปัญหาของผิวผู้หญิงไทยเกิดจากอากาศ
ของเมืองไทยเป็นเมืองร้อน
จึงคิดค้นผลิตภัณฑ์ที่ช่วยดูแลผิวคนไทยในราคาที่ย่อมเยา
ซึ่งในช่วงที่เรียนและวิจัยผลิตภัณฑ์ของตัวเอง
มีโอกาสรู้จักรุ่นพี่ที่เรียนจบจากมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง
และมีโรงงานผลิตสินค้าที่ผ่านจีเอ็มพีให้กับทางบริษัท ซีพีออลล์ จำกัด
(มหาชน) หรือ เซเว่น อีเลฟเว่น (7- Eleven) จึงขอเข้าไปช่วยทำงานให้เขาฟรี ๆ
ด้วยการรับออกแบบแพ็กเกจให้
รุ่นพี่เห็นเราเป็นเด็กขยันมีความตั้งใจ
จริง
จึงให้โอกาสผลิตครีมลอตที่เราคิดค้นและแนะนำให้ไปขายในเซเว่นแคตตาล็อคจึงนำ
คอนเซปต์ไปพรีเซ็นต์ว่าครีมตัวนี้เป็นผลิตภัณฑ์บำรุงผิวจากธรรมชาติช่วยเก็บ
กักความชุ่มชื้นและนำพาสารสกัดได้ดี ช่วยหล่อเลี้ยงเข้าไปอยู่ในเซลล์ผิว
ทำให้ผิวเกิดปัญหาน้อย แต่ทาง เซเว่นแคตตาล็อคให้กลับไปแก้ 6 ครั้ง เช่น
กล่อง ดีไซน์ แพ็กเกจ หลอดบรรจุภัณฑ์ ซึ่งใช้เวลานานถึง 6 เดือน
ช่วงนั้นประหยัดอดออมมากรับประทานบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปแทนข้าว
เพราะเงินในบัญชีเอาไว้จ่ายค่าเทอม
และงานออกแบบสินค้าทำคนเดียวทุกอย่างทุกขั้นตอน
คะน้าสู้จนกระทั่งได้
วางสินค้าแบรนด์ “เดิมมาดิก”ในเซเว่นแคตตาล็อคตั้งแต่เดือนตุลาคม 2556
ซึ่งใน 2 เดือนแรกยอดขายดีมาก ทางเซเว่น อีเลฟเว่น
จึงให้โอกาสวางสินค้าขายบนชั้น
สำหรับเงินที่ได้มาในช่วงแรกก็นำมาต่อยอดเพื่อวางสินค้าบนชั้น เพราะเซเว่น
อีเลฟเว่น 7,350 สาขาทั่วประเทศ เราต้องสต๊อกของเองก่อน
ซึ่งก็ได้รับความอนุเคราะห์จากรุ่นพี่ที่โรงงานช่วยผลิตของให้ก่อนแล้วค่อย
เอาเงินมาจ่ายให้
ตอนนี้คะน้าสามารถปลดหนี้ให้พ่อกับแม่ได้แล้วภายใน
ระยะเวลาไม่ถึง 1 ปี และให้ทั้งสองลาออกจากงานเพื่อใช้ชีวิตแบบสบาย
แต่พ่อกับแม่ขออยู่บ้านเดิมไม่อยากได้บ้านหลังใหม่
และเดินทางมาหาคะน้าที่กรุงเทพฯ บ่อย ๆ ถึงครอบครัวเราจะไม่มีหนี้สิน
และใคร ๆ ก็เรียกว่าเศรษฐี
แต่เชื่อไหมว่าไม่ได้เปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของเราไปเลย
คะน้ายังกินข้าวข้างทางเหมือนเดิม ยังนั่งรถเมล์เหมือนเดิม
เพราะเรารู้ตัวว่ากำลังทำอะไรและมีเป้าหมายยังไง
ซึ่งเป้าหมายคือทำบริษัทให้เป็นที่พึ่งพิงให้คนอื่นได้มาทำงาน
ได้กระจายรายได้สู่ชุมชน จึงมุ่งไปที่การพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้ดียิ่ง ๆ
ขึ้นไปมากกว่า
หวังว่าชีวิตของเด็กสาวสู้ชีวิตอย่าง
“คะน้า”ภัทร์ภัสสร ธนาเสฎฐ์หิรัญ
จะเป็นแรงบันดาลใจให้ใครหลายคนที่กำลังมองหาธุรกิจเพื่อสร้างรากฐานให้ชีวิต
มีความมั่นคงได้ดำเนินรอยตาม
แต่อย่าลืมว่าการจะมีโอกาสที่ดีได้นั้นต้องอาศัยความอดทน
ความทุ่มเทแรงใจและแรงกาย เพื่อให้ได้มาซึ่งความสำเร็จ
เพราะทุกอย่างในชีวิตไม่มีอะไรได้มาง่าย ๆ.
ปรัชญาการดำเนินชีวิต...แบบอย่างของความสำเร็จ
“ความ
กตัญญู” หลักการดำเนินชีวิตที่ดีของชีวิตของคะน้า
คือตั้งแต่เรียนมหาวิทยาลัยมา 4 ปี ไม่เคยไปเที่ยวกับเพื่อนเลย
ถามว่าอยากไปไหมใจจริงก็อยากไปอยู่ตามประสาวัยรุ่น
แต่เพราะคำพูดของแม่คำเดียวที่ว่า
“แม่ลำบากลูกยังขอเงินแม่ไปเที่ยวกับเพื่อนอีกหรือ
แต่ก็อนุญาตให้ไปพร้อมกับยื่นเงินให้ 100 บาท” เราจึงร้องไห้แม่ก็ร้องไห้
ทำให้คิดได้ว่าถ้าทิ้งพ่อกับแม่ไว้และไปเที่ยวสนุกกับเพื่อนก็ไม่ใช่จึง
ตัดสินใจไม่ไป
“ความขยัน” “การมีแนวคิดจิตใจที่ดี”
“คิดบวกชีวิตก็บวก” เช่น สินค้าลอตแรกที่เอาไปพรีเซ็นต์กับเซเว่น อีเลฟเว่น
เราไม่มีเงินสักบาทเดียวที่จะไปผลิตของ
แต่รุ่นพี่เจ้าของโรงงานก็ช่วยเพราะเห็นว่าเราเป็นคนขยันและมีความมุ่งมั่น
คือบอกเขาเลยว่าเราไม่มีเงิน แต่ช่วยหนูด้วยนะหนูสัญญาว่าจะหาเงินมาคืน
มันเป็นความอดทนที่ใครหลายคนคิดไม่ถึง แค่คิดใจเราก็ไปถึงแล้ว มือเรา
สมองเรา และอวัยวะทุกอย่างจะผลักดันเราไปเอง
แต่ถ้าไม่เริ่มคิดเราก็อยู่ที่เดิม...
“การนอบน้อมถ่อมตน”
เป็นเครื่องช่วยเบิกทางในการรับความช่วยเหลือต่าง ๆ
ถ้าเรามีความนอบน้อมถ่อมตน เวลาไปขอความช่วยเหลือจากผู้ใหญ่หรือคนอื่นๆ
ย่อมได้รับความช่วยเหลือตอบกลับมาอย่างแน่นอน
แต่ก็ไม่ลืมที่จะตอบแทนสังคมที่ให้โอกาสดี ๆ แก่เราด้วย เช่น
การที่คะน้าไปบรรยายหรือให้ความรู้แก่นักศึกษาจะไม่รับเงินค่าตัวเลย
แต่บริจาคให้เป็นทุนการศึกษาของน้อง ๆ ต่อไป
“การยอมรับความจริง”
ธรรมะทำให้เห็นถึงความจริง การไม่ปฏิเสธความจริงจะไม่ทุกข์
ถ้าเราเข้าใจความเป็นธรรมชาติของตัวเองตั้งแต่แรกว่าเป็นอย่างไร เช่น
เป็นคนจนแต่สามารถค่อย ๆ พัฒนาจนรวยได้ จะทำให้เราก้าวไปได้อย่างมั่นคง
แต่สุดท้ายแล้วความรวยไม่ได้ทำให้เรามีความสุขเพิ่มขึ้น
หรือความจนไม่ได้ทำให้เรามีความทุกข์มากขึ้น
คนเรามีความสุขเท่าเดิมไม่ว่าจะรวยหรือจน
เพราะถ้ายอมรับความจริงในชีวิตได้ก็แปลว่ามีความสุขอยู่แล้ว...
เครดิต http://www.dailynews.co.th/Content/Article/264092/%E2%80%98%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B8%B0%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B2%E2%80%99+%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%A7%E0%B8%AA%E0%B8%A7%E0%B8%A2%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%84%E0%B8%B2%E0%B8%A1+%E0%B8%AA%E0%B8%B9%E0%B9%89%E0%B8%8A%E0%B8%B5%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%95...%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%9D%E0%B8%B1%E0%B8%99+%E0%B8%88%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B9%80%E0%B8%94%E0%B9%87%E0%B8%81%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B9%87%E0%B8%9A%E0%B8%82%E0%B8%A2%E0%B8%B0%E0%B8%AA%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B9%80%E0%B8%A8%E0%B8%A3%E0%B8%A9%E0%B8%90%E0%B8%B5%E0%B8%9E%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%A5%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%99!!%3F
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น