วันจันทร์ที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

บทเรียนล้ำค่าจาก JACK MA

บทเรียนล้ำค่าจาก JACK MA ผู้ก่อตั้ง ALIBABA ชายผู้ที่ได้ชื่อว่ารวยที่สุดในประเทศจีน
Jack Ma ประธานบริษัท Aliababa เป็นผู้ประกอบการชาวจีนคนแรกที่ได้ปรากฏอยู่บนหน้าปกหนังสือ Forbes Magazine และได้รับการจัดอันดับเป็นหนึ่งในกลุ่มคนที่รวยที่สุดในโลก

ต่อไปนี้คือประสบการณ์ของ Jack Ma

ก่อนที่ผมจะก่อตั้ง Alibaba ผมเชิญเพื่อน 24 คนมาที่บ้านเพื่อพูดคุยกันเกี่ยวกับโอกาสทางธุรกิจ หลังจากพูดคุยไปได้สองชั่วโมง พวกเขายังงงไม่หาย อาจเป็นเพราะผมยังสื่อสารได้ไม่ชัดเจนมากนักในตอนนั้น เพื่อนจำนวน 23 คนจากทั้งหมด 24 คนบอกให้ผมยกเลิกความคิดนั้นไปซะ ด้วยหลายเหตุผล เช่น ผมไม่รู้อะไรเกี่ยวกับอินเตอร์เนต และผมยังไม่มีเงินทุนสำหรับบริษัท Startup ด้วยซ้ำ และเหตุผลอีกมากมาย

มีเพียงเพื่อนคนเดียวเท่านั้นที่บอกผมว่า “ถ้าหากนายอยากจะทำ ก็ลองทำ ถ้าหากมันไม่เป็นอย่างที่นายหวัง นายก็แค่กลับไปทำงานเดิมที่นายทำก่อนหน้านั้นก็ได้” ผมคิดถึงคำพูดนี้ตลอดคืนนั้น และในเช้าวันต่อมา ผมตัดสินใจที่จะลงมือทำ แม้หากว่าเพื่อนทั้งหมดของจะไม่เห็นด้วยก็ตาม

ในช่วงแรกของการก่อตั้ง ทั้งครอบครัวและเพื่อนต่างก็ไม่เห็นด้วยกับผมเลย เมื่อมองย้อนกลับไป ผมตระหนักว่าสิ่งที่เป็นแรงผลักดันที่สุดไม่ใช่ความมั่นใจในพลังของโลกอินเตอร์เนต แต่เป็นคำๆนี้ “ไม่ว่าคุณจะทำอะไรก็ตาม ไม่ว่าจะล้มเหลวหรือประสบความสำเร็จ ประสบการณ์ที่ได้มาก็ถือว่าเป็นความสำเร็จของมันเอง” คุณจำเป็นต้องลองทำ ถ้าหากไม่สำเร็จ คุณก็แค่กลับไปทำงานเดิมของคุณก็แค่นั้น

เหมือนกับคำกล่าวของ T.E. Lawrence ที่กล่าวไว้ว่า “ทุกๆคนฝัน แต่ไม่เท่ากัน คนที่ฝันตอนกลางคืน ในฝุ่นคลุ้งแห่งการหลบถอยของจิตใจนั้น ตื่นขึ้นมาแล้วพบว่าฝันนั้นไม่ได้มีอะไร…. แต่ผู้ที่ฝันในเวลากลางวันนั้นเป็นคนที่อันตราย เพราะเขาจะโลดเล่นในความฝันด้วยดวงตาที่เปิดกว้าง และทำให้มันเป็นไปได้ สิ่งนี้คือสิ่งที่ผมได้ทำ”

ผู้คนที่ล้มเหลวในชีวิตต่างก็มีสาเหตุ 4 สาเหตุด้วยกัน

- มองไม่เห็นโอกาส
- ดูถูกโอกาส
- ขาดความเข้าใจ
- ลงมือช้าเกินไป

คุณยากจนเพราะคุณไร้ซึ่งความทะเยอทะยาน
ความทะเยอะทะยานทำให้ชีวิตของคนเรามีความหมาย เป็นเป้าหมายที่งดงามในชีวิตที่คนเราควรมี
ในโลกนี้มีเรื่องมากมายที่ยากเกินจะคาดเดา แต่ในโลกนี้ก็ไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้เช่นกัน ความทะเยอทะยานของคนๆหนึ่งเป็นตัวกำหนดอนาคตของคนๆนั้น

บทเรียนจากประสบการณ์ในการประกอบธุรกิจของ Jack Ma

ความผิดพลาดที่ผมเสียใจที่สุด

เมื่อปี 2001 ผมทำผิดพลาดอย่างนึงคือ ผมบอกกับผู้ร่วมงานจำนวน 18 คนที่ร่วมเดินทางกับผมในตอนแรกว่า ตำแหน่งที่พวกเขาสามารถทำได้สูงสุดคือระดับการจัดการเท่านั้น ส่วนตำแหน่งรองประธานและตำแหน่งระดับสูงอื่นๆ ผมจะจ้างบุคคลภายนอกเข้ามาแทน

หลายปีต่อมา คนเหล่านั้นที่ผมจ้างลาออกไป ส่วนคนที่ผมสงสัยในความสามารถทั้ง 18 คนกลายมาเป็นรองประธานและกรรมการบริษัทแทน

ผมเชื่อในหลักการสองประการคือ

- ทัศนคติของคุณสำคัญกว่าความสามารถของคุณ
- การตัดสินใจของคุณสำคัญกว่าความสามารถของคุณเอง

แน่นอนว่าคุณไม่สามารถทำให้ทุกคนคิดออกมาเหมือนกันได้ แต่คุณสามารถทำให้ทุกคนคิดถึงเป้าหมายเดียวกันได้
- อย่าคิดว่าคุณจะสามารถทำให้ทุกคนคิดเหมือนกันได้ นั่นเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้
- 30% คือจำนวนคนที่จะไม่เชื่อในตัวคุณ อย่าให้คนอื่นทำงานเพื่อคุณ แต่จงให้พวกเขาทำงานเพื่อเป้าหมายเดียวกัน
- เป็นการง่ายกว่าที่คุณจะรวมบริษัทให้เป็นหนึ่งเดียวภายใต้เป้าหมายเดียวกันมากกว่าเป็นหนึ่งเดียวภายใต้คนๆเดียว

สิ่งที่ผู้นำมี แต่พนักงานไม่มี
ผู้นำไม่ควรเปรียบเทียบทักษะของตนเองกับทักษะของพนักงาน เพราะพนักงานควรมีทักษะในการทำงานมากกว่าคุณ ถ้าหากพวกเขาไม่มีทักษะในการทำงานเหล่านั้น แสดงว่าคุณจ้างคนผิด!

สิ่งที่ทำให้ผู้นำโดดเด่นกว่าพนักงานคือ
- ผู้นำต้องมีวิสัยทัศน์และมองเห็นอนาคตได้ดีกว่าพนักงาน
- ผู้นำต้องอดทน จูงใจพนักงานได้ และไม่ยอมแพ้
- ผู้นำต้องยอมรับความล้มเหลวได้

คุณสมบัติของผู้นำที่ดีหลักๆคือ มีวิสัยทัศน์ แรงจูงใจ และความสามารถ

อย่ายุ่งเกี่ยวกับการเมือง
- ผู้คนควรเข้าใจว่า การเมืองกับธุรกิจไม่ควรเป็นเรื่องเดียวกัน เมื่อคุณอยู่ในเกมการเมือง จงอย่าคิดเรื่องเงิน เมื่อคุณอยู่ในธุรกิจ จงอย่าคิดเรื่องการเมือง
- เมื่อเงินบวกกับอำนาจทางการเมือง มันก็เหมือนกับระเบิดเวลาดีๆนี่เอง

4 แง่คิดสำหรับผู้ประกอบการรุ่นใหม่

- ความล้มเหลวคืออะไร?
    - ความล้มเหลวที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคือ การยอมแพ้
- ความยืดหยุ่นคืออะไร?
    - เมื่อคุณผ่านความยากลำบาก ความผิดหวัง และเศร้าโศกมาได้ ตอนนั้นคุณจะเข้าใจเอง
- หน้าที่ของเราคืออะไร?
    - หน้าที่ของเราคือ ขยันให้มากขึ้น ทำงานหนักขึ้น และทะเยอทะยานเหนือผู้อื่น
- มีแต่คนโง่ที่ใช้ปากพูด คนฉลาดใช้สมอง คนที่ยิ่งใหญ่ใช้หัวใจ

เราเกิดมาเพื่อใช้ชีวิต
ผมบอกกับตัวเองเสมอว่า เราไม่ได้เกิดมาเพื่อทำงาน แต่คนเราเกิดมาเพื่อใช้ชีวิต เราเกิดมาเพื่อสร้างสรรค์สิ่งที่ดีกว่าเพื่อคนอื่นๆ ถ้าหากคุณใช้เวลาทั้งชีวิตทำงาน คุณจะต้องเสียใจแน่นอนในสักวัน
ไม่ว่าคุณจะประสบความสำเร็จมากมายสักแค่ไหน คุณต้องจดจำไว้เสมอว่า คุณเกิดมาเพื่อใช้ชีวิต ถ้าหากคุณทำงานตลอดเวลา แน่นอนว่าสักวันคุณจะต้องเสียใจ

คู่แข่งและการแข่งขัน
- คนที่แข่งขันกับคู่แข่งอย่างเอาเป็นเอาตายล้วนเป็นคนโง่สิ้นดี
- ถ้าหากคุณมองว่าทุกคนคือศัตรู คนทุกคนรอบตัวคุณจะกลายเป็นศัตรูของคุณ
- ถ้าหากคุณแข่งขันกับผู้อื่น อย่าใช้ความเกลียดชัง ความเกลียดชังมีแต่ทำลาย
- คู่แข่งก็เหมือนกับการเล่นหมากรุก ถ้าคุณแพ้ เราก็เล่นรอบใหม่ คู่แข่งทั้งสองไม่ควรสู้กันเอง
- นักธุรกิจหรือผู้ประกอบการที่แท้จริงไม่มีศัตรู เมื่อพวกเขาเข้าใจสิ่งนี้ โลกและโอกาสก็เปิดกว้างสำหรับพวกเขา

อย่าบ่นจนเป็นนิสัย
ถ้าหากคุณบ่นนานๆครั้ง นั่นไม่ใช่เรื่องใหญ่
แต่ถ้าหากมันกลายเป็นนิสัยแล้วจะเป็นเรื่องแย่ คนควรสังเกตุว่าคนที่ประสบความสำเร็จล้วนไม่ใช่คนที่เอาแต่พร่ำบ่น
โลกนี้ไม่สนหรอกว่าคุณจะพูดอะไร แต่แน่นอนว่าโลกนี้จะไม่ลืมว่าคุณได้ทำอะไรลงไปบ้าง

คำแนะนำสำหรับผู้ประกอบการ
- โอกาสที่คนอื่นมองไม่เห็นคือโอกาสอย่างแท้จริง
- จงให้พนักงานทำงานด้วยรอยยิ้ม
- ลูกค้าคือสิ่งสำคัญที่สุด พนักงานสำคัญรองลงมา และผู้ถือหุ้นสำคัญน้อยที่สุด
- ปรับตัวและเปลี่ยนแปลงก่อนที่จะถูกเปลี่ยนแปลง
- ลืมเรื่องการหาเงินไปได้เลย
- ใส่ใจและดูแลลูกค้าประจำ แทนที่จะไปค้นหาเทคนิคดึงดูดลูกค้าหน้าใหม่
- ทัศนคติกำหนดอนาคตของคุณ

บนถนนของการเป็นผู้ประกอบการ
- โอกาสที่ยิ่งใหญ่ยากที่จะอธิบายให้ชัดเจน สิ่งที่อธิบายได้ชัดเจนมักไม่ใช่โอกาสที่ยิ่งใหญ่
- ควรมองหาคนที่มีทักษะสมบูรณ์แบบเพื่อเริ่มก่อตั้งบริษัทด้วย คนๆนั้นไม่จำเป็นต้องประสบความสำเร็จ แต่จงค้นหาคนที่ใช่ ไม่ใช่คนที่ดีที่สุด
- สิ่งที่ไว้ใจได้ยากที่สุดในโลกคือ มิตรภาพระหว่างมนุษย์
- ฟรี คือคำพูดที่แพงที่สุด
- วันนี้โหดร้าย วันพรุ่งนี้โหดร้ายกว่า แต่วันมะรืนจะงดงาม

4 สิ่งที่ผู้ประกอบการไม่ควรทำ
- สิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือ การไร้ซึ่งวิสัยทัศน์ มั่นใจเกินไป ขาดความเข้าใจในสิ่งที่เกิดขึ้น และไม่สามารถก้าวต่อไปข้างหน้าได้
- ถ้าคุณไม่รู้จักคู่แข่ง หรือมั่นใจเกินไป หรือไม่รู้จักความสามารถของคู่แข่งดีพอ คุณจะโดนทิ้งไว้ข้างหลัง อย่าเป็น “พวกเขา” ในสุภาษิตนี้ “ในตอนแรกพวกเขาปฏิเสธคุณ จากนั้นพวกเขาหัวเราะคุณ จากนั้นพวกเขาก็รบกับคุณ สุดท้ายคุณเป็นผู้ชนะ”
- แม้ว่าคู่แข่งของคุณจะยังไม่เติบโตมากนัก คุณก็ควรระวังและถือว่าพวกเขาเป็นคู่แข่งจริงจัง
- ขณะเดียวกันถ้าหากคู่แข่งคุณเป็นยักษ์ใหญ่ คุณก็ไม่ควรมองว่าตัวเองเป็นแค่มดตัวเล็กๆเช่นกัน

การเริ่มต้นบริษัท
การเริ่มต้นบริษัทหมายความว่า คุณจะเสียรายได้ที่แน่นอน คุณไม่สามารถลางาน ลาหยุดยาว หรือเรียกร้องโบนัสได้
อย่างไรก็ตาม นั่นหมายความว่า รายได้ของคุณจะไม่จำกัด คุณจะได้ใช้เวลาอย่างมีประสิทธิภาพ และคุณก็จะไม่ต้องทำงานให้คนอื่นอีกต่อไป
ถ้าหากคุณมี Mindset ที่แตกต่าง คุณจะได้ผลลัพธ์ที่แตกต่าง ถ้าหากคุณเลือกในสิ่งที่แตกต่างจากคนอื่น ชีวิตคุณก็จะแตกต่างจากคนอื่นเช่นกัน

โอกาส
ถ้าหากคนมากกว่า 90% มีความเห็นว่า “ใช่” สำหรับโครงการใดๆ ผมจะไม่เอาโครงการนั้นทันที เหตุผลง่ายๆคือ ถ้าหากคนจำนวนมากเห็นว่ามันดี แสดงว่ามีคนจำนวนมากกำลังทำสิ่งนั้นอยู่ และนั่นก็ไม่ใช่โอกาสสำหรับเราแล้ว

คุณยากจนเพราะคุณไร้ซึ่งความทะเยอทะยาน !!!

๙คำที่พ่อสอน


1. ความเพียร

การสร้างสรรค์ตนเอง การสร้างบ้านเมืองก็ตาม มิใช่ว่าสร้างในวันเดียว ต้องใช้เวลา ต้องใช้ความเพียร ต้องใช้ความอดทน เสียสละ แต่สำคัญที่สุดคือความอดทนคือไม่ย่อท้อ ไม่ย่อท้อในสิ่งที่ดีงาม สิ่งที่ดีงามนั้นทำมันน่าเบื่อ บางทีเหมือนว่าไม่ได้ผล ไม่ดัง คือดูมันควรทำดีนี่ แต่ขอรับรองว่าการทำให้ดีควรต้องมีความอดทน เวลาข้างหน้าจะเห็นผลแน่นอนในความอดทนของตนเอง

พระบรมราโชวาท พระราชทานแก่นักเรียน นักศึกษา ครู และอาจารย์ในโอกาสเข้าเฝ้าฯ วันที่ 27 ตุลาคม 2516

2. ความพอดี

ในการสร้างตัวสร้างฐานะนั้นจะต้องถือหลักค่อยเป็นค่อยไป ด้วยความรอบคอบ ระมัดระวังและความพอเหมาะพอดี ไม่ทำเกินฐานะและกำลัง หรือทำด้วยความเร่งรีบ เมื่อมีพื้นฐานแน่นหนารองรับพร้อมแล้ว จึงค่อยสร้างค่อยเสริมความเจริญก้าวหน้าในระดับสูงขึ้น ตามต่อกันไปเป็นลำดับ ผลที่เกิดขึ้นจึงจะแน่นอน มีหลักเกณฑ์ เป็นประโยชน์แท้และยั่งยืน

พระบรมราโชวาท ในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรของมหาวิทยาลัยขอนแก่น วันที่ 18 ธันวาคม 2540
3. ความรู้ตน

เด็กๆ ทำอะไรต้องหัดให้รู้ตัว การรู้ตัวอยู่เสมอจะทำให้เป็นคนมีระเบียบและคนที่มีระเบียบดีแล้ว จะสามารถเล่าเรียนและทำการงานต่างๆ ได้โดยถูกต้องรวดเร็ว จะเป็นคนที่จะสร้างความสำเร็จและความเจริญ ให้แก่ตนเองและส่วนรวมในอนาคตได้อย่างแน่นอน

พระบรมราโชวาท พระราชทานลงพิมพ์ในหนังสือ วันเด็ก ประจำปี 2521

4. คนเราจะต้องรับและจะต้องให้

คนเราจะเอาแต่ได้ไม่ได้ คนเราจะต้องรับและจะต้องให้ หมายความว่าต่อไป และเดี๋ยวนี้ด้วยเมื่อรับสิ่งของใดมา ก็จะต้องพยายามให้ ในการให้นั้น ให้ได้โดยพยายามที่จะสร้างความสามัคคีให้หมู่คณะและในชาติ ทำให้หมู่คณะและชาติประชาชนทั้งหลายมีความไว้ใจซึ่งกันและกันได้ ช่วยที่ไหนได้ก็ช่วย ด้วยจิตใจที่เผื่อแผ่โดยแท้

พระบรมราโชวาท พระราชทานแก่นักศึกษามหาวิทยาลัยขอนแก่น วันที่ 20 เมษายน 2521

5. อ่อนโยน แต่ไม่อ่อนแอ

ในวงสังคมนั้นเล่า ท่านจะต้องรักษามารยาทอันดีงามสำหรับสุภาพชน รู้จักสัมมาคารวะ ไม่แข็งกระด้าง มีความอ่อนโยนแต่ไม่อ่อนแอ พร้อมจะเสียสละประโยชน์ส่วนตัวเพื่อส่วนรวม

พระบรมราโชวาท ในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย วันที่ 25 มิถุนายน 2496

6. พูดจริง ทำจริง

ผู้หนักแน่นในสัจจะพูดอย่างไร ทำอย่างนั้น จึงได้รับความสำเร็จ พร้อมทั้งความศรัทธาเชื่อถือและความยกย่องสรรเสริญ จากคนทุกฝ่าย การพูดแล้วทำ คือ พูดจริง ทำจริง จึงเป็นปัจจัยสำคัญในการส่งเสริมเกียรติคุณของบุคคลให้เด่นชัด และสร้างเสริมความดี ความเจริญ ให้เกิดขึ้นทั้งแก่บุคคลและส่วนรวม

พระบรมราโชวาท ในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย วันที่ 10 กรกฎาคม 2540

7. หนังสือเป็นออมสิน

หนังสือเป็นการสะสมความรู้และทุกสิ่งทุกอย่างที่มนุษย์ได้สร้างมา ทำมา คิดมา แต่โบราณกาลจนทุกวันนี้ หนังสือจึงเป็นสิ่งสำคัญ เป็นคล้ายๆ ธนาคารความรู้และเป็นออมสิน เป็นสิ่งที่จะทำให้ มนุษย์ก้าวหน้าได้โดยแท้

พระบรมราโชวาท พระราชทานแก่คณะสมาชิกห้องสมุดทั่วประเทศ ในโอกาสที่เข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท วันที่ 25 พฤศจิกายน 2514

8. ความซื่อสัตย์

ความซื่อสัตย์สุจริตเป็นพื้นฐานของความดีทุกอย่าง เด็กๆ จึงต้องฝึกฝนอบรมให้เกิดมีขึ้นในตนเอง เพื่อจักได้เติบโตขึ้นเป็นคนดีมีประโยชน์ และมีชีวิตที่สะอาด ที่เจริญมั่นคง

พระบรมราโชวาท พระราชทานเพื่อเชิญลงพิมพ์ในหนังสือวันเด็ก ปี พุทธศักราช 2531

9. การเอาชนะใจตน

ในการดำเนินชีวิตของเรา เราต้องข่มใจไม่กระทำสิ่งใดๆ ที่เรารู้สึกด้วยใจจริงว่าชั่วว่าเสื่อม เราต้องฝืนต้องต้านความคิดและความประพฤติทุกอย่างที่รู้สึกว่าขัดกับธรรมะ เราต้องกล้าและบากบั่นที่จะกระทำสิ่งที่เราทราบว่าเป็นความดี เป็นความถูกต้อง และเป็นธรรม ถ้าเราร่วมกันทำเช่นนี้ ให้ได้จริงๆ ให้ผลของความดีบังเกิดมากขึ้นๆ ก็จะช่วยค้ำจุนส่วนรวมไว้มิให้เสื่อมลงไป และจะช่วยให้ฟื้นคืนดีขึ้นได้เป็นลำดับ


พระราชดำรัส พระราชทานเพื่อเชิญไปอ่าน ในพิธีเปิดการประชุมยุวพุทธิกสมาคมทั่วประเทศ ครั้งที่ 12 ที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา วันที่ 12 ธันวาคม 2513

Cr: (สสส.), kapook.com, planforfit.com

วันพฤหัสบดีที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

เมื่อกล้าที่จะฝัน จงกล้าที่จะรับผิดชอบต่อความฝัน

        “คุณเป็นผู้กำหนดชะตาชีวิตของตัวเอง มีเพียงคุณเท่านั้นที่จะทำให้ความฝันของตัวเองเป็นจริง”
ข้อคิดดีๆจากโอปราห์ วินฟรีย์ ผู้หญิงที่เลือกที่จะเดินทางตามฝันอย่างไม่ท้อถอยจนติดอันดับสตรีที่ร่ำรวยที่สุดในวงการบันเทิงจากการจัดอับดับของนิตยสารฟอร์บส์
        คนทุกคนย่อมมีความฝันเป็นของตนเองด้วยกันทั้งนั้น แต่น้อยคนนักที่จะสามารถทำความฝันให้กลายเป็นจริง
เพราะคนส่วนมากเลือกที่จะทิ้งความฝันตั้งแต่ยังไม่ได้เริ่มเพียงเพราะความกลัวที่จะเสียใจหรือผิดหวัง
หารู้ไม่ว่าสิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือ การที่ไม่ได้ลงมือทำสิ่งใดกับความฝันที่มีนั้นเลยต่างหาก.. 
        สิ่งสำคัญประการหนึ่งที่จะทำให้เดินไปสู่ฝันคือ ความรู้  ความรู้ได้มาจากการศึกษาการขวนขวายแต่หลายคนก็เริ่มที่จะหยุดฝันตั้งแต่ในขั้นแรกนี้ การศึกษาเป็นเพียงจุดเริ่มต้นจุดเล็กๆของการก้าวเดินตามความฝัน ในหนทางที่ก้าวเดินนั้นล้วนเต็มไปด้วยอุปสรรคมากมายที่รอให้เราไปเผชิญและต่อสู้กับมัน บางครั้งเราเหนื่อย เราท้อจนมองไม่เห็นจุดหมายปลายทางแต่ด้วยความเชื่อที่มีต่อความฝัน ทำให้เราเลือกที่จะกัดฟันสู้ต่อจนกว่าเราจะผ่านพ้นมันไปได้
เมื่อเราผ่านมันไปได้แล้วนั้นหากเราลองมองย้อนกลับมาเราจะเห็นมันเป็นเพียงแค่บททดสอบที่เล็กน้อยมาก หากเทียบ กับสิ่งที่เราจะต้องได้เจอในด่านทดสอบด่านต่อๆไป เพราะไม่มีความสำเร็จใดที่ได้มาโดยง่ายดายทุกความสำเร็จต้องใช้ทั้งความเพียรพยายาม มานะ อุตสาหะ รวมถึงหัวใจที่แข็งแกร่งและกล้าที่จะเผชิญหน้า จากจุดเริ่มต้นจุดเล็กๆเมื่อเกิดรวมกันหลายๆจุดก็จะสามารถก่อให้เกิดจุดที่ยิ่งใหญ่ได้ เปรียบเสมือนการเดินขึ้นบันไดเราต้องเริ่มจากขั้นแรกก่อนจากนั้นจึงค่อยเดินต่อไปทีละขั้น ก้าวต่อก้าว ก้าวแล้วก้าวเล่า
แม้ว่าจะดูเหมือนเป็นการก้าวเดินที่เชื่องช้า แต่สุดท้ายสามารถถึงจุดหมายปลายทางได้อย่างมั่นคงและปลอดภัย เป็นผลจากการขวนขวายศึกษาที่ทำให้รากฐานเราแข็งแรง และส่งผลให้เราสามารถสร้างมันให้งอกเงย ดุจต้นไม้รากยาว ลำต้นใหญ่ แผ่กิ่งก้านสาขาปกคลุมไปทั่วบริเวณ...
        คนเราไม่ผิดหากคิดที่จะฝัน เพราะความฝันของแต่ละคนล้วนแต่จะเป็นแรงผลักดันให้ก้าวไปสู่การพัฒนา เปลี่ยนแปลง และแสวงหาที่สิ่งที่ดีที่ สามารถตอบสนองความต้องการของแต่ละคนได้ แต่เราจะเติมฝันอย่างไรให้เต็ม อยู่ที่ตัวเราจะเริ่มมันหรือไม่
หากเลือกที่จะฝัน จงอย่าคิดที่จะทิ้งความฝันอย่ากลัวที่จะผิดหวังหรือเสียใจทั้งๆที่ยังไม่ได้ลงมือทำ จงมีใจที่จะรับผิดชอบสานต่อความฝันที่เรานั้นได้เป็นผู้ริเริ่มไว้ และทำมันให้เต็มที่ให้สมกับที่ครั้งหนึ่งเราเคยได้ขึ้นชื่อว่าเป็นบุคคลที่กล้าที่จะเดินตามความฝัน
เครคิต http://www.ictsilpakorn.com/ictmedia/detail.php?news_id=29#.VNOAGc_tlCY

วันอังคารที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

อกหัก...เจ็บให้พอ แล้วลุกขึ้นยืนอีกครั้ง

          พอดีมีเพื่อนคนหนึ่งพึ่งเลิกกับแฟน เพื่อนกับสาวคนคบกันมาประมาณ 10 ปี ตั้งแต่สมัยเรียนปริญญาตรีอาจจะผ่านปัญหามาหลากหลายจนสุดท้ายทั้งสองคนก็ได้เลิกกัน ตอนนี้เพื่อนคนนั้นร้องไห้ฟูมฟายคิดต่างๆนาน ผมก็คิดว่าเมื่อคนเราโตขึ้นมันก็จะมีบางสิ่งบางอย่างที่เปลี่ยนไปตาม อาจจะแนวคิดหรือว่ามุมมองลองอ่านบทความต่อไปนี้ดูครับ 

          "ไม่ว่าอะไรจะหายไปจากชีวิตของเราก็ตาม เราควรบอกตัวเองว่า "ช่างมัน" เราควรรู้สึกดีกับโลกใบนี้ที่ยังมี "วันพรุ่งนี้" รอคอยเราอยู่เสมอ"

          โลกใบนี้ไม่มีอะไรที่แน่นอนเลยสักอย่าง คนบางคนมีความสุขในทุกวันที่ตื่นเช้า เพราะมีความรักอยู่ในดวงตา แอบหันไปข้าง ๆ ก็เจอคนรักคอยยิ้มให้ หัวใจก็ค่อย ๆ พองโต บางทีโลกของเราก็สวยจนเว่อร์ เมื่อคนเรามีความรัก แต่ถ้าวันหนึ่งความรักได้ทำการ "หักอก" เราอย่างไม่ไยดี วันนั้นเราคงอยากหลับตา...ไม่คิดจะตื่น ขาดกำลังใจในการทำสิ่งต่าง ๆ อย่างที่เคยทำหัวใจเริ่มเปราะบาง และค่อย ๆ แฟบลงเรื่อย ๆ

          ความเศร้าทำหน้าที่ของมันอีกครั้ง บวกกับวันเวลาที่มีแต่จะหมุนไป ๆ ตามคอนเซ็ปต์ที่ไม่เคยรอใคร จากนั้นคนอกหักก็เริ่มคิดมากตั้งแต่วันแรกที่เขาจากไป ที่ผ่านมาเคยมีกัน 2 คน วันต่อไปจะเหลือเพียงเราคนเดียวที่ "ต้องอยู่" อย่างโดดเดี่ยวทั้ง ๆ ที่ไม่มีกำลังใจจะอยู่เลยก็ตาม

          แต่เราต้องไม่ลืมว่า ไม่ว่าจะอย่างไรเราก็ต้องเดินต่อไป อดีตอาจทำร้ายหัวใจเราจน "เจ็บ" แบบที่คนในโลกนี้ไม่มีวันเข้าใจ และปัจจุบันเราอาจต้อง "ทนอยู่" กับความรู้สึกที่เปลี่ยวเหงาทั้ง ๆ ที่หมดแรงจะรับมือไหว แต่รู้ไหม ไม่ว่าอะไรจะหายไปจากชีวิตของเราก็ตามเราบอกตัวเองว่า "ช่างมัน" เราควรรู้สึกดีกับโลกใบนี้ ที่ยังมี "วันพรุ่งนี้" รอคอยเราอยู่เสมอ

          อย่าให้เวลากับความโศกเศร้านานเกินไป หากจะจมอยู่กับความทุกข์เพราะรัก ก็ต้องเตือนตัวเองให้มีสติอยู่เสมอ อยากเศร้าก็เศร้าจนเต็มที่ หมั่นถามตัวเองว่าสะใจหรือยัง พอใจแล้วหรือยัง อย่าลืมเก็บและจำส่วนดี ๆ ของความรักเอาไว้ด้วย เมื่อเจ็บปวดพอแล้ว เมื่อมันสมควรแก่เวลาแล้ว ก็พาตัวเองลุกขึ้นยืนอีกครั้ง...แล้วออกเดินทางกันต่อไป

          คำปลอบประโลมจากใคร ๆ ที่เราฟัง ๆ มาอาจมีพลังไม่มากค่าเท่ากับแรงใจของตัวเราเอง หากจะเริ่มเข้มแข็ง...ก็ต้องเริ่มที่ตัวเราเองก่อน ให้เวลาดำเนินไป...ให้ความปวดร้าวได้สอนประสบการณ์แก่เรา เพื่อจะได้เกิดการเรียนรู้ว่า "ที่ผ่านมา ความรักสอนอะไรบ้าง"

          เก็บและจำช่วงเวลาที่ดีเอาไว้ เรื่องอกหักจะกลายเป็นเรื่องเล็กในไม่ช้า เราควรยิ้มให้กับความเข้มแข็งที่กำลังจะมาถึงสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ แล้วก้าวไปข้างหน้าอีกครั้งอย่างมั่นใจ ค่อย ๆ ก้าว...แล้วหัวใจจะค่อย ๆ แข็งแรงเอง

เครดิต http://women.kapook.com/view28574.html

วันอาทิตย์ที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

กว่าจะรู้ค่าของเงินหนึ่งบาท ประสบการณ์ที่บอกเล่าจากคนล้มแล้วลุก

            เงินทองเป็นของหายาก เราทุกคนล้วนได้ยินคำเหล่านี้อยู่เป็นประจำ แต่อาจจะไม่เคยเข้าใจความหมายนั้นจริง ๆ สักที เพราะเมื่อเงินผ่านมือเข้ามาทีไรก็มักจะปล่อยให้มันผ่านออกไปแบบง่ายดาย จนเมื่อรู้ตัวอีกครั้งก็กลับกลายเป็นว่าใช้เงินเกินตัวไปซะแล้ว คุณ Aoyoyoo_mame สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม ก็คืออีกหนึ่งคนที่กว่าจะรู้ตัวก็กลายเป็นคนมีหนี้สินติดตัวถึงหลักแสน และนั่นทำให้เขาตระหนักได้ว่า "คนเรากว่าจะรู้คุณค่าของเงินหนึ่งบาท ก็คือตอนที่เรามีเงินอยู่ห้าบาทนั่นแหละ"ลองไปดูประสบการณ์เรื่องนี้จากคำบอกเล่าของเขากันค่ะ...

คนเรามันจะรู้ค่าของเงินหนึ่งบาทก็ตอนที่เรามีเงินอยู่ห้าบาทนั้นแหละครับ

            วันนี้เหนื่อยกับงานครับ เลยนั่งนิ่ง ๆ ที่ออฟฟิศ เปิดเว็บอ่านกระทู้เก่า ๆ ในเว็บหูฟังที่เคยบ้าอยู่เป็นปี ๆ อ่านแล้วก็มีสายจากเพื่อนคนหนึ่งเข้ามา โทรมาขอยืมเงินซึ่งก็บอกไปตามความจริงว่ามี..แต่ให้ไม่ได้ เพราะของเก่ายังไม่ได้คืนเลย ก็จบไป

            แต่หลังจากนั้นมานั่งนึกถึงตัวเองเมื่อสักสิบปีผ่านมาแล้วครับ ผมเองเคยเป็น "คนล้มเหลว" มาก่อน แต่ก่อนก็ผ่านมันมาได้ ก็เลยอยากจะแชร์ ให้หลาย ๆ ท่านได้อ่านกันครับ ลองอ่านเล่น ๆ ผ่าน ๆ ตาดูละกันครับ

            คนเรามันจะรู้ค่าของเงินหนึ่งบาทก็ตอนที่เรามีเงินอยู่ห้าบาทนั้นแหละครับ ผมเป็นคนประเภทที่ทำอะไรแบบไม่คิดหน้าคิดหลังมาก่อน สมัยหาเงินเองได้ ก็เที่ยวไปเรื่อย กินเหล้า ติดเด็กคาราโอเกะ (ของเขาดีจริง ๆ) สมัครบัตรเครดิตเป็นว่าเล่น ยิ่งมียิ่งรูด พอถึงวันหนึ่ง มันเหมือนคนเพิ่งตื่น เพิ่งได้สติ ทำไมกรูมีหนี้ตั้งสองแสนกว่าบาทวะ ไปทำอะไรมาบ้างวะเนี่ย แทบไม่เป็นผู้เป็นคน
            โดนเค้าทวงทั้งทางโทรศัพท์ มาหาที่บริษัท โอย สารพัดจะอาย ไหนจะโดนเพื่อนรักกันโกงเงินที่กู้มาจะทำธุรกิจไปอีก จำได้ไหมสมัยก่อนมีการหิ้ว nokia 8210 มาจากฮ่องกง ราคาแบบแจ่มมาก ผมโดนเพื่อนโกงไปอีกแสน สรุปเบ็ดเสร็จ เป็นหนี้เกือบสามแสน ตอนนั้นกินเงินเดือนหมื่นสี่ ประมาณนี้ เครียดมากกกกกกกกกกกกกกกกกกก

            คิดฆ่าตัวตายหนีปัญหาตั้งหลายครั้ง ผมเก็บตัวอยู่คนเดียวเกือบปี ทนไม่ไหว ไปสารภาพกับพ่อแม่ผม ท่านไม่ได้ว่าอะไรผมเลย แค่บอกว่า "คนเราไม่มีทางที่มันจะสำเร็จไปได้ทุกอย่าง มีเรื่องให้เจ็บบ้างก็ดีแล้ว จะได้เป็นบทเรียน พ่อกับแม่ไม่มีเงินก้อนจะช่วยใช้หนี้ให้หรอก แต่พ่อกับแม่พร้อมจะเป็นกำลังใจให้ในทุก ๆ ครั้งที่ลูกล้มลงอีก"

            ผมก็ได้สติว่าไม่มีเวลาให้เรามานั่งเศร้าสนิมสร้อยอีกแล้ว ผูกเองก็ต้องแก้เอง ผมก็เลยมานั่งวางแผนเลยว่ามีเงินเข้าเท่าไหร่ รายจ่ายอันไหนต้องจ่ายก่อนหลังอย่างไร ใช้เงินทุกอย่างให้มีประโยชน์ที่สุด อย่าไปหนีคนทวงหนี้ โทรไปหามันแทนบอกว่า มาช่วยกรูคิดหน่อยว่าจะใช้หนี้กันยังไง เมื่อก่อนเคยแต่หลบ ไม่เคยจ่าย ตอนนี้มาเลย จะให้เดือนละพันจนกว่าจะหมด เอาไหม

            เอาทำสัญญากัน อันไหนประนอมหนี้ได้ ก็ว่ากันไป รายจ่ายส่วนตัวที่เคยใช้ก็ตัดออกให้หมด ค่าเหล้า ค่าบุหรี่ ค่าโทรศัพท์หาแฟน (เลิกไปซะหากเขาไม่เข้าใจเรา) ค่าเสื้อผ้า ค่าภาษีสังคมต่าง ๆ ตอนนั้นผมก็เป็น engineer อยู่ คนนับถือก็เยอะ แต่ผมก็ต้องบอกไปตรง ๆ ว่า อย่าให้ซองผมเลย ผมไม่มีตังค์ใส่ ขอไปช่วยลงแรงแทนแล้วกัน

            อายก็อาย แต่ก็ต้องทำ ลูกน้องมาขอยืมตังค์ ร้อยนึงยังไม่มีให้มันเลยครับ เอาข้าวมากินเองทุกวัน ให้แม่ทอดไข่ แกง เกิง อะไรก็แค่กินได้ อายไหมที่ต้องมานั่งกินข้าวอยู่คนเดียว อายครับ แต่ก็ต้องทำ จากที่เคยนั่งมอเตอร์ไซค์รับจ้างออกมาขึ้นรถเมล์ไปทำงาน ก็ปั่นจักรยานเอา ประหยัดวันละยี่สิบ เดือนหนึ่งก็หกร้อยนะเอ้า

            เดินผ่านร้านลูกชิ้นของโปรด ไม้ละห้าบาท ยังซื้อกินไม่ได้เลย เพราะในกระเป๋าเอามาเฉพาะค่ารถเมล์ สามบาทห้าสิบเท่านั้น ผมมีเงินเหรียญห้าสิบสตางค์ เหรียญสลึงอยู่ ก็เอามาใช้ซะ ตอนจ่ายค่ารถเมล์แรก ๆ ก็อาย แต่ก็ต้องทำ

            ผมบังคับตัวเองไม่ให้มีรายจ่ายที่ไม่จำเป็นอยู่อย่างนี้ สองปีครับ หนี้ผมเหลือห้าหมื่นกว่าบาท พอดีถูกหวยไปได้งานใหม่ เงินเดือนเยอะกว่าเดิมสองเท่า ทีนี้ทุกอย่างก็สบายขึ้นครับ สองเดือนต่อมาหนี้ก็หมด คิดในใจก็บอกตัวเองว่า เราจะไม่ให้มันเป็นอย่างนั้นอีกแล้ว หลังจากนั้นมาเงินทุกสตางค์ที่ผมมีผมก็ใช้อย่างรู้คุณค่ามาตลอด บัตรเครดิตยังใช้อยู่ แต่จ่ายเต็มทุกครั้ง ไม่ปล่อยให้มันได้ดอกเบี้ยเราอีก

            จนทุกวันนี้ผมบอกกับตัวเองว่า หากไม่ได้มีโอกาสผ่านเรื่องราวร้าย ๆ ในอดีต ผมก็คงไม่รู้ค่าของเงิน เหมือนในปัจจุบันนี้หรอกครับ ผมภูมิใจในตัวเองมาก ไม่ได้ภูมิใจที่ใช้หนี้หมด แต่ภูมิใจที่ทำให้พ่อกับแม่ ปลื้มใจที่เราเปลี่ยนแปลง ปรับปรุงตัวเองได้สำเร็จ ผมก็เก็บเรื่องนี้เป็น masterpiece ไว้คอยสอนน้อง สอนหลาน พร้อมกับเตือนตัวเองอยู่เสมอว่า จะใช้เงินอย่างไรมันขึ้นอยู่กับเรา ชีวิตเราเราจะเลือกซ้ายหรือขวามันก็อยู่ที่เรา เลือกทางเดินให้เหมาะสมกับตัวเองดีที่สุด
            แต่หากเป็นปัจจุบันนี้ อยากได้อะไรก็คงจะต้องเก็บเงินก่อน ไม่ซื้อเสื้อผ้าสักสองเดือน ไม่ซื้ออย่างอื่นที่เราอยากได้ หรือไปหางานพิเศษทำ มีหลายคนในนี้ที่เก็บตังค์จากการทำงาน KFC ไปซื้อหูฟังที่อยากได้ ทำอย่างนั้นท้องเราก็ไม่ต้องหิว แถมยังภูมิใจที่ได้มาด้วยความพยายามอีกต่างหาก ผมขอโทษหากทำให้กระทู้มันหดหู่ไปด้วยเรื่องความหลังของผม แค่อยากจะเอาประสบการณ์มาให้ท่านอื่น ๆ ได้เป็นบทเรียน หากท่านใดไม่เห็นด้วยกับมุมมองของผม ก็ขออภัยมานะที่นี้ด้วยครับ...

            "ไม่มีทางที่วันของเรามันจะมืดไปตลอดหรอก สักวันมันต้องสดใสแค่เราอดทนรอแค่นั้นเอง"

เครดิต http://hilight.kapook.com/view/92400 

วันพฤหัสบดีที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2558

การเป็นคนดี

      คนดีในทางพระพุทธศาสนา มีหลักธรรมอยู่บทหนึ่งซึ่งเป็นหลักธรรมที่จะทำให้คนดีมีเพิ่มขึ้น

1. จงคบคนดี
      คือคบหากับใครคนหนึ่งที่จะเป็นต้นแบบให้เราได้ เช่น บารัคโอบามา แม่ของเขาจะปลุกตอนตี4
เพื่อสอนภาษาอังกฤษ และเอาชีวะประวัติคนบุคคลสำคัญของโลกมาสอนด้วย ผลที่ได้คือ บารัค
เก่งภาษาอังกฤษ และ ได้แรงบันดาลใจจากชีวะประวัติของบุคคลเหล่านั้นด้วย เมื่อตอนบารัค 4 ขวบ
บอกกับแม่ว่าแม่ครับ ผมจะเป็นประธานาธิบดี เพราะเค้าได้แรงบันดาลใจจาก มหาตมะ คานธี
,มาติน ลูเธอร์คิง จูเนีย,เนลสัน แมนเดอร์ลา เด็ก 4 ขวบ ตั้งปนิธานจะเป็น ประธานาธิบดี ในประเทศ
ที่ผู้คนผิวขาวเป็นผู้ยิ่งใหญ่ และแล้วเค้าก็สามารถเป็น ประธานาธิบดี นี้คืออนิสงค์ของการคบคนดี หรือ
การมีคนดีเป็นต้นแบบ มีคนดีเป็นแรงบันดาลใจ หรือมี คนดีเป็นไอดอล

2. จงเรียนรู้จากคนดี
     ใครที่เป็นคนดีพอเป็นต้นแบบให้เราได้เราจะต้องไปเรียนรู้และถอดรหัสออกมาว่าเค้าสามารถประสบความสำเร็จ
ได้อย่างไร เค้าเป็นคนนเช่นนั้นได้อย่างไร เป็นคนสำคัญของโลกได้อย่างไร ถอดรหัสออกมาแล้วจะเจริญรอยตามเค้าได้อย่างไรบ้าง

3. จงคิดอย่างคนดี
     คิดอย่างมีเหตุผลตามอย่าง อริยะสัจสี เมื่อเจอเหตุการณ์อะไรสักอย่างอย่าสักว่าแต่ว่าคิด หรือ อย่าสักแต่ว่าอย่ารู้สึก
แต่จงใช้การคิดอย่างมีเหตุผลว่า นี้คืออะไร เกิดจากสาเหตุใด ทางที่ถูกที่ควรควรจะเป็นเช่นไร และจะเป็นเช่นนั้นเราควรทำเช่นไร
what,why,how,how to นี้คือวิธีคิดแบบ อริยะสัจสี ถ้าเราคิดแบบนี้อยู่เสมอ เราจะเป็นคนดีที่มีสติปัญญาไม่ใช่ คนดีที่ดีเชยๆ คนหนึ่งของสังคมเราจะเป็นคนดีแหลมคม เป็นคนที่ใช้การได้

4. จงเป็นคนดี
     เราจะชื่นชมคนดีกี่คนก็แล้วแต่คนแต่จะไม่มีความหมายตราบใดที่คุณยังไม่ได้เป็นคนดีด้วยตัวเอง บารัคชื่นชมคนดีมากมายแต่สุดท้ายเค้าสามารถอันเชิญคุณงามความดีคนที่เป็น ฮีโร่ของเขาเข้ามาไว้ในเนื้อในตัวของเขาได้ และสุดท้าย เค้าสามารถกลั่นกรองให้เป็นบุคลิกตัวเค้าเอง ถ้าเราเรียนรู้ชีวะประวัติของโอบามาเค้าเป็นนักสู้เหมือน อับราฮัม ลินคอน เค้ามีวาทะสินเหมือน มาตินลูเธอร์คิงจูเนีย และมีความอดทนต่ออุปศักดิ์ เหมือน มหาตะมะ คานธี นี้คือการเรียนรู้จากชีวะประวัติ จากยอดคนเอามาพัฒนาตัวเอง วันหนึ่งแทนที่เราจะเอาชื่นชมฮีโร่หรือ คนดี เราก็กลายเป็นคนดีให้คนอื่นชื่นชมสะเอง ถ้าใครอยากเป็นคนดีเช่นนี้ ซึ่งไม่ใช่คนดีเชย เป็นคนดีที่ใช้การได้ ก็ลองเรียนรู้เอาไว้

1.คบคนดี หาคนดีมาเป็นต้นแบบ
2.เรียนรู้จากคนดีคือ ถอดรหัสเค้าทำแบบนั้นได้อย่างไร
3.คิดอย่างคนดี คือคิดอย่างมีระบบ คิดอย่างมีเหตุผล
4.เป็นคนดี ด้วยตนเอง

     ใครทำเช่นนี้ได้ คุณจะเป้นคนดีคนต่อไปซึ่งสังคมไทยต้องการคนเช่นนี้อย่างมากทุกวันนี้บ้านเมืองเราวิกฤตมาก ทำให้ พระคุณเจ้าคิดถึงประโยคหนึ่งในหนังเรื่องหนึ่งซึ่งเขียนบทไว้ดีมาก

 "การที่คนเลวกลายเป็นคนที่มี อิทธิพลไม่ใช่เป็นเพราะว่าโลกนีร้มีคนเลวมากกว่าคนดี แต่เป็นเพราะว่าคนดีทั้งหลายพากันนิ่งเงียบ"

พูดง่ายๆคือคนเลวที่ได้ชัยชนะไม่ใช่เพราะคนเลวมีมากกว่า แต่ว่า คนดีตะหากที่นิ่งเงียบ ฉะนั้นเราทุกคนอยากเหตุบ้านเมืองของเราดี อย่าเป็นคนดี เชยๆ อย่าเป็นคนดีเฉยๆ และอย่าเป็นคนดีเงียบ แต่เราต้องเป้นคนดี ทาง จิต,วาจา และการกระทำ พูดง่ายๆ คือเป็นคนดีที่ต้องแสดงออกด้วย

เครดิต https://www.facebook.com/video.php?v=10155146205295370

อายุเป็นเพียงตัวเลข

        ปัจจุบันคนหนุ่มสาวมักจะคิดนำไปก่อนว่าถ้าแก่ตัวไปจะเป็นไงกลัวนู้นกลัวนี้ไปเรื่อย ผมก็เคยแอบคิดเหมือนกัน สมัยเด็กเคยคิดว่าถ้าถึงเวลาทำงานจะเป็นไงหว้าเม่งต้องเครียดบลาๆ พอถึงเวลาจริงๆมันก็ไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด ถ้ามองย้อนกลับไปซึ่งที่เรามันอาจจะเกิดจากจินตนาการไปทั้งนั้น เดียวจะยกตัวอย่างบุคคลที่อายุเป็นเพียงตัวเลขให้ดูนะจ๊ะ

1. คุณปู่เลียบ วัย 92ปี ซึ่งแก่มีอาชีพชาวนา เรียนจบ ปริญญาตรีวิชาเกษตรศาสตร์ และ สหกรณ์ แต่แก่ใช้เวลาร่ำเรียนมาถึง 11ปี นี้สินะที่เรียกว่าไม่มีอะไรแก่เกินเรียน
2. Carmem Dell'Orefice เธอมีอายุ 82ปี เริ่มทำงานอาชีพนางแบบ ตั้งแต่อายุ 14 และเธอยังทำงานเป็นนางแบบอยู่ในปัจจุบัน
3. ฟาวจาซิง เป็นนักวิ่งมากราธอน เริ่มวิ่งมาราธอนตอนอายุ 14 และ เลิกวิ่งมาราธอนตอนอายุ 102ปี
ซึ่งรายการสุดท้ายแก่วิ่ง มาราธอน 10Km  ใช้เวลา 1 ชม 32 นาที 28 วินาที จิตใจอยู่เหนืออายุ
4. โมริตะ มิสซึ เป็นชาวญี่ปุ่น เป็นนักกรีฑาวิ่งมาตั้งแต่เด็ก จนถึปัจจุบันอายุ 90ปี และเป็นเจ้าของสถิติโลกวิ่ง 100m ด้วยเวลา 23.15วินาที อยากจะบอกว่าปัจจุบันแก่ยังไปฝึกซ้อมกับเด็กๆในโรงเรียน มีวิ่งลากยางรถยนต์ด้วยนะคร๊าบบบ


 จากตัวอย่างที่นำมาเสนอให้ดูคิดว่าเราสามารถเป้นหนุ่มสาวได้ตลอดเวลามันไม่ได้ยากเราสามารถทำได้กันทุกคน

credit คุณโหน่ง เจาะใจ 24 เม.ย. 2557