วันอาทิตย์ที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

กว่าจะรู้ค่าของเงินหนึ่งบาท ประสบการณ์ที่บอกเล่าจากคนล้มแล้วลุก

            เงินทองเป็นของหายาก เราทุกคนล้วนได้ยินคำเหล่านี้อยู่เป็นประจำ แต่อาจจะไม่เคยเข้าใจความหมายนั้นจริง ๆ สักที เพราะเมื่อเงินผ่านมือเข้ามาทีไรก็มักจะปล่อยให้มันผ่านออกไปแบบง่ายดาย จนเมื่อรู้ตัวอีกครั้งก็กลับกลายเป็นว่าใช้เงินเกินตัวไปซะแล้ว คุณ Aoyoyoo_mame สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม ก็คืออีกหนึ่งคนที่กว่าจะรู้ตัวก็กลายเป็นคนมีหนี้สินติดตัวถึงหลักแสน และนั่นทำให้เขาตระหนักได้ว่า "คนเรากว่าจะรู้คุณค่าของเงินหนึ่งบาท ก็คือตอนที่เรามีเงินอยู่ห้าบาทนั่นแหละ"ลองไปดูประสบการณ์เรื่องนี้จากคำบอกเล่าของเขากันค่ะ...

คนเรามันจะรู้ค่าของเงินหนึ่งบาทก็ตอนที่เรามีเงินอยู่ห้าบาทนั้นแหละครับ

            วันนี้เหนื่อยกับงานครับ เลยนั่งนิ่ง ๆ ที่ออฟฟิศ เปิดเว็บอ่านกระทู้เก่า ๆ ในเว็บหูฟังที่เคยบ้าอยู่เป็นปี ๆ อ่านแล้วก็มีสายจากเพื่อนคนหนึ่งเข้ามา โทรมาขอยืมเงินซึ่งก็บอกไปตามความจริงว่ามี..แต่ให้ไม่ได้ เพราะของเก่ายังไม่ได้คืนเลย ก็จบไป

            แต่หลังจากนั้นมานั่งนึกถึงตัวเองเมื่อสักสิบปีผ่านมาแล้วครับ ผมเองเคยเป็น "คนล้มเหลว" มาก่อน แต่ก่อนก็ผ่านมันมาได้ ก็เลยอยากจะแชร์ ให้หลาย ๆ ท่านได้อ่านกันครับ ลองอ่านเล่น ๆ ผ่าน ๆ ตาดูละกันครับ

            คนเรามันจะรู้ค่าของเงินหนึ่งบาทก็ตอนที่เรามีเงินอยู่ห้าบาทนั้นแหละครับ ผมเป็นคนประเภทที่ทำอะไรแบบไม่คิดหน้าคิดหลังมาก่อน สมัยหาเงินเองได้ ก็เที่ยวไปเรื่อย กินเหล้า ติดเด็กคาราโอเกะ (ของเขาดีจริง ๆ) สมัครบัตรเครดิตเป็นว่าเล่น ยิ่งมียิ่งรูด พอถึงวันหนึ่ง มันเหมือนคนเพิ่งตื่น เพิ่งได้สติ ทำไมกรูมีหนี้ตั้งสองแสนกว่าบาทวะ ไปทำอะไรมาบ้างวะเนี่ย แทบไม่เป็นผู้เป็นคน
            โดนเค้าทวงทั้งทางโทรศัพท์ มาหาที่บริษัท โอย สารพัดจะอาย ไหนจะโดนเพื่อนรักกันโกงเงินที่กู้มาจะทำธุรกิจไปอีก จำได้ไหมสมัยก่อนมีการหิ้ว nokia 8210 มาจากฮ่องกง ราคาแบบแจ่มมาก ผมโดนเพื่อนโกงไปอีกแสน สรุปเบ็ดเสร็จ เป็นหนี้เกือบสามแสน ตอนนั้นกินเงินเดือนหมื่นสี่ ประมาณนี้ เครียดมากกกกกกกกกกกกกกกกกกก

            คิดฆ่าตัวตายหนีปัญหาตั้งหลายครั้ง ผมเก็บตัวอยู่คนเดียวเกือบปี ทนไม่ไหว ไปสารภาพกับพ่อแม่ผม ท่านไม่ได้ว่าอะไรผมเลย แค่บอกว่า "คนเราไม่มีทางที่มันจะสำเร็จไปได้ทุกอย่าง มีเรื่องให้เจ็บบ้างก็ดีแล้ว จะได้เป็นบทเรียน พ่อกับแม่ไม่มีเงินก้อนจะช่วยใช้หนี้ให้หรอก แต่พ่อกับแม่พร้อมจะเป็นกำลังใจให้ในทุก ๆ ครั้งที่ลูกล้มลงอีก"

            ผมก็ได้สติว่าไม่มีเวลาให้เรามานั่งเศร้าสนิมสร้อยอีกแล้ว ผูกเองก็ต้องแก้เอง ผมก็เลยมานั่งวางแผนเลยว่ามีเงินเข้าเท่าไหร่ รายจ่ายอันไหนต้องจ่ายก่อนหลังอย่างไร ใช้เงินทุกอย่างให้มีประโยชน์ที่สุด อย่าไปหนีคนทวงหนี้ โทรไปหามันแทนบอกว่า มาช่วยกรูคิดหน่อยว่าจะใช้หนี้กันยังไง เมื่อก่อนเคยแต่หลบ ไม่เคยจ่าย ตอนนี้มาเลย จะให้เดือนละพันจนกว่าจะหมด เอาไหม

            เอาทำสัญญากัน อันไหนประนอมหนี้ได้ ก็ว่ากันไป รายจ่ายส่วนตัวที่เคยใช้ก็ตัดออกให้หมด ค่าเหล้า ค่าบุหรี่ ค่าโทรศัพท์หาแฟน (เลิกไปซะหากเขาไม่เข้าใจเรา) ค่าเสื้อผ้า ค่าภาษีสังคมต่าง ๆ ตอนนั้นผมก็เป็น engineer อยู่ คนนับถือก็เยอะ แต่ผมก็ต้องบอกไปตรง ๆ ว่า อย่าให้ซองผมเลย ผมไม่มีตังค์ใส่ ขอไปช่วยลงแรงแทนแล้วกัน

            อายก็อาย แต่ก็ต้องทำ ลูกน้องมาขอยืมตังค์ ร้อยนึงยังไม่มีให้มันเลยครับ เอาข้าวมากินเองทุกวัน ให้แม่ทอดไข่ แกง เกิง อะไรก็แค่กินได้ อายไหมที่ต้องมานั่งกินข้าวอยู่คนเดียว อายครับ แต่ก็ต้องทำ จากที่เคยนั่งมอเตอร์ไซค์รับจ้างออกมาขึ้นรถเมล์ไปทำงาน ก็ปั่นจักรยานเอา ประหยัดวันละยี่สิบ เดือนหนึ่งก็หกร้อยนะเอ้า

            เดินผ่านร้านลูกชิ้นของโปรด ไม้ละห้าบาท ยังซื้อกินไม่ได้เลย เพราะในกระเป๋าเอามาเฉพาะค่ารถเมล์ สามบาทห้าสิบเท่านั้น ผมมีเงินเหรียญห้าสิบสตางค์ เหรียญสลึงอยู่ ก็เอามาใช้ซะ ตอนจ่ายค่ารถเมล์แรก ๆ ก็อาย แต่ก็ต้องทำ

            ผมบังคับตัวเองไม่ให้มีรายจ่ายที่ไม่จำเป็นอยู่อย่างนี้ สองปีครับ หนี้ผมเหลือห้าหมื่นกว่าบาท พอดีถูกหวยไปได้งานใหม่ เงินเดือนเยอะกว่าเดิมสองเท่า ทีนี้ทุกอย่างก็สบายขึ้นครับ สองเดือนต่อมาหนี้ก็หมด คิดในใจก็บอกตัวเองว่า เราจะไม่ให้มันเป็นอย่างนั้นอีกแล้ว หลังจากนั้นมาเงินทุกสตางค์ที่ผมมีผมก็ใช้อย่างรู้คุณค่ามาตลอด บัตรเครดิตยังใช้อยู่ แต่จ่ายเต็มทุกครั้ง ไม่ปล่อยให้มันได้ดอกเบี้ยเราอีก

            จนทุกวันนี้ผมบอกกับตัวเองว่า หากไม่ได้มีโอกาสผ่านเรื่องราวร้าย ๆ ในอดีต ผมก็คงไม่รู้ค่าของเงิน เหมือนในปัจจุบันนี้หรอกครับ ผมภูมิใจในตัวเองมาก ไม่ได้ภูมิใจที่ใช้หนี้หมด แต่ภูมิใจที่ทำให้พ่อกับแม่ ปลื้มใจที่เราเปลี่ยนแปลง ปรับปรุงตัวเองได้สำเร็จ ผมก็เก็บเรื่องนี้เป็น masterpiece ไว้คอยสอนน้อง สอนหลาน พร้อมกับเตือนตัวเองอยู่เสมอว่า จะใช้เงินอย่างไรมันขึ้นอยู่กับเรา ชีวิตเราเราจะเลือกซ้ายหรือขวามันก็อยู่ที่เรา เลือกทางเดินให้เหมาะสมกับตัวเองดีที่สุด
            แต่หากเป็นปัจจุบันนี้ อยากได้อะไรก็คงจะต้องเก็บเงินก่อน ไม่ซื้อเสื้อผ้าสักสองเดือน ไม่ซื้ออย่างอื่นที่เราอยากได้ หรือไปหางานพิเศษทำ มีหลายคนในนี้ที่เก็บตังค์จากการทำงาน KFC ไปซื้อหูฟังที่อยากได้ ทำอย่างนั้นท้องเราก็ไม่ต้องหิว แถมยังภูมิใจที่ได้มาด้วยความพยายามอีกต่างหาก ผมขอโทษหากทำให้กระทู้มันหดหู่ไปด้วยเรื่องความหลังของผม แค่อยากจะเอาประสบการณ์มาให้ท่านอื่น ๆ ได้เป็นบทเรียน หากท่านใดไม่เห็นด้วยกับมุมมองของผม ก็ขออภัยมานะที่นี้ด้วยครับ...

            "ไม่มีทางที่วันของเรามันจะมืดไปตลอดหรอก สักวันมันต้องสดใสแค่เราอดทนรอแค่นั้นเอง"

เครดิต http://hilight.kapook.com/view/92400 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น